ทานยาคุมแบบ 28 เม็ดที่เป็นเม็ดแป้ง 7 เม็ดหลัง ทำให้อ้วนหรือไม่?

การใช้ยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด เป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมสำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและการช่วยรักษาความสม่ำเสมอของรอบเดือน

โดยในแผงยาคุมชนิดนี้จะประกอบด้วยยาฮอร์โมน 21 เม็ด และเม็ดแป้งหรือเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมนอีก 7 เม็ดหลัง  

คำถามที่มักพบบ่อยคือ “เม็ดแป้งในยาคุมทำให้อ้วนหรือไม่?” คำตอบสั้น ๆ คือ **เม็ดแป้งในยาคุมไม่ใช่สาเหตุของการเพิ่มน้ำหนัก** แต่หากต้องการคำอธิบายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรามาแยกประเด็นสำคัญเพื่อทำความเข้าใจกัน  

 

ส่วนประกอบของเม็ดแป้งในยาคุมกำเนิด 

เม็ดแป้งในยาคุมแบบ 28 เม็ดไม่มีส่วนผสมของฮอร์โมนใด ๆ และไม่มีสารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมหรือกระตุ้นกระบวนการในร่างกาย เช่น การเผาผลาญหรือการกักเก็บน้ำในร่างกาย

โดยทั่วไป เม็ดแป้งมีเพียงสารที่เป็นประโยชน์ในแง่ของการทำให้ผู้ใช้งานทานยาต่อเนื่องโดยไม่เว้นช่วง การทานเม็ดแป้งจึงไม่มีผลกระทบต่อการเพิ่มน้ำหนัก  

 

สาเหตุของน้ำหนักเพิ่มจากการใช้ยาคุมกำเนิด 

หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิด ส่วนใหญ่มักมาจาก ฮอร์โมนในเม็ดยาคุม 21 เม็ดแรก มากกว่าจะเกี่ยวข้องกับเม็ดแป้ง ฮอร์โมนในยาคุม เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในร่างกาย เช่น  

  1. การกักเก็บน้ำในร่างกาย (Water Retention): ฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจทำให้เกิดการสะสมของน้ำในร่างกาย ซึ่งทำให้น้ำหนักดูเพิ่มขึ้นชั่วคราว  
  2. การเพิ่มความอยากอาหาร:ยาคุมบางชนิดอาจกระตุ้นความอยากอาหาร ทำให้บางคนรับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว  
  3. การเปลี่ยนแปลงของระบบเผาผลาญ: แม้ว่าจะพบไม่บ่อย แต่ฮอร์โมนในยาคุมอาจมีผลเล็กน้อยต่อระบบเผาผลาญในบางคน  

เม็ดแป้งมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักหรือไม่?  

เนื่องจากเม็ดแป้งไม่มีฮอร์โมนหรือสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อระบบในร่างกาย เม็ดแป้งจึงไม่สามารถทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

หากน้ำหนักเพิ่มระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิดแบบ 28 เม็ด มักเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ดแรก หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือระดับความเครียด  

 

วิธีจัดการกับน้ำหนักระหว่างการใช้ยาคุม 

  1. สังเกตร่างกาย: หากน้ำหนักเพิ่มหลังเริ่มใช้ยาคุม ให้ลองบันทึกพฤติกรรมการกินและระดับกิจกรรมทางกายภาพ  
  2. เลือกยาคุมที่เหมาะสม:หากน้ำหนักเพิ่มอย่างชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาคุมที่มีระดับฮอร์โมนที่เหมาะสม  
  3. ดูแลสุขภาพโดยรวม: การออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่สมดุลช่วยลดผลกระทบของยาคุมต่อร่างกาย  

 

เม็ดแป้งในยาคุมแบบ 28 เม็ดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มน้ำหนัก เพราะไม่มีฮอร์โมนหรือสารที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง การเพิ่มน้ำหนักมักเกิดจากฮอร์โมนในเม็ดยาฮอร์โมน 21 เม็ดแรก หรือปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ

หากกังวลเรื่องน้ำหนัก  ทานยาคุม ทำให้อ้วนหรือไม่  ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณที่สุด

 

 

ขอขอบคุณ    หูตึงรักษาหายไหม    ที่ให้การสนับสนุน

ประเด็นสังคม ความคิดเชิงลึก และการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัล

ในยุคที่โลกเชื่อมถึงกันด้วยเส้นใยสัญญาณและฐานข้อมูลขนาดมหึมา เรามักคิดว่ามนุษย์ก้าวหน้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ความจริงที่เงียบงันคือ “เรายังคงเป็นมนุษย์เหมือนเดิม” มีความหวัง ความกลัว ความเข้าใจผิด และความโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน เพียงแต่รูปแบบของมันถูกแปลงให้เร็วขึ้น รุนแรงขึ้น และยากต่อการควบคุม เพราะทุกความคิดถูกส่งต่อในเสี้ยววินาที

1. โลกดิจิทัลไม่ได้เปลี่ยนมนุษย์…มันขยายตัวตนของเรา

อินเทอร์เน็ตไม่ได้สร้างนิสัยใหม่ขึ้นมาจากศูนย์ มันเพียงขยายสิ่งที่คนมีอยู่ในตัวเองให้เด่นชัดขึ้น
คนที่ใจกว้าง ก็ใช้พื้นที่ดิจิทัลแบ่งปันความรู้
คนที่โกรธเกลียด ก็ใช้พื้นที่เดียวกันในการเหยียดและทำร้าย
มนุษย์ไม่เปลี่ยนไปอย่างที่เราคิด แต่ “เครื่องมือ” ทำให้การแสดงออกของมนุษย์ใหญ่เกินกว่าที่ระบบสังคมดั้งเดิมเคยรับมือได้

ในยุคก่อน ถ้าใครมีความคิดสุดโต่ง ก็ถูกจำกัดอยู่ในวงสนทนาสองสามคน วันนี้ความคิดเดียวกันสามารถถูกแชร์ไปยังหมื่นบัญชีในไม่กี่นาที เราจึงอยู่ในโลกที่ “เสียงดัง” ไม่ใช่ “เสียงถูก” และนั่นคือปัญหาใหญ่ที่แทบไม่มีใครกล้ายอมรับ

2. อำนาจไม่ได้อยู่ในมือรัฐบาลหรือบริษัทใหญ่เสมอไป

ใคร ๆ ก็พูดว่า Big Tech ควบคุมโลก แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปจริง ๆ จะพบว่า “ผู้ใช้งานหลายล้านคน” ต่างหากที่เป็นตัวกำหนดทิศทาง
แพลตฟอร์มไม่ได้สร้างการเสพติดข่าวปลอมโดยตั้งใจ แต่เมื่ออัลกอริทึมเห็นว่าสิ่งที่สร้างอารมณ์รุนแรงทำให้คนอยู่ในระบบนานขึ้น มันก็เพียงขยายปรากฏการณ์นั้น ผลลัพธ์คือผู้คนโกรธง่ายขึ้น ไม่เชื่อใคร ไม่อ่านอะไรยาว และแบ่งฝั่งกันชัดเจนขึ้น

โลกที่ทุกคนอยากเป็นผู้พูด ไม่มีใครอยากเป็นผู้ฟัง ทำให้ข้อมูลที่มีค่าเงียบลง ส่วนความคิดผิวเผินกลับดังที่สุด นี่คือ “เผด็จการของความสนใจ” ไม่ใช่การเมืองแบบยุคเก่า แต่เป็นการเมืองที่วัดกันด้วยจำนวนยอดวิว

3. ความรู้ของมนุษย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าความมั่นใจของมนุษย์

ก่อนยุคดิจิทัล คนจะรู้ขนาดไหนก็ขึ้นกับประสบการณ์หรือหนังสือในมือ
วันนี้ทุกคนมีคำตอบอยู่ในสมาร์ทโฟน แต่จำนวนข้อมูลที่เข้าถึงได้ ทำให้เราเกิด “ความมั่นใจผิด ๆ” ว่าเข้าใจทุกเรื่อง ทั้งที่ยังไม่เคยคิดอย่างจริงจัง
ความรู้ที่ไม่ได้ผ่านการย่อยและวิเคราะห์ ถูกใช้เป็นอาวุธแทนที่จะเป็นสะพานสร้างความเข้าใจ

จึงเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด คนรู้มากขึ้น แต่ไม่ฉลาดขึ้น
กรอบความคิดไม่ยืดหยุ่นเท่าวัยรุ่นยุค 80 หรือ 90 เพราะข้อมูลถูกบังคับให้เชื่อมโยงกับอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล

4. การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเริ่มจากความเงียบ

เราเชื่อมต่อกับคนทั้งโลก แต่กลับรู้จักตัวเองน้อยลง
การพัฒนาทางเทคโนโลยีทำให้เรา “รู้ทัน” ทุกอย่าง แต่ไม่ได้ทำให้เรา “เข้าใจ” อะไรเลย
ความเงียบซึ่งเคยเป็นพื้นที่ของการคิด ถูกแทนที่ด้วยเสียงแจ้งเตือน
ช่วงเวลาว่างถูกกลืนด้วยหน้าฟีด
ความคิดสร้างสรรค์ถูกรีดให้เป็นคอนเทนต์ที่ต้องขายใน 30 วินาที

คนจำนวนมากเริ่มกลับไปหารูปแบบชีวิตที่ช้าลง อ่านหนังสือแบบกระดาษ เดินคนเดียวโดยไม่ฟังเพลง ทำอาหารเอง นี่ไม่ใช่การย้อนยุค แต่มันคือความพยายามรักษาสมดุลระหว่าง “การเชื่อมต่อกับโลก” และ “การเชื่อมต่อกับตัวเอง”

5. จุดเปลี่ยนของสังคมไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือความรับผิดชอบ

เราตื่นตระหนกกับ AI กลัวงานหาย หรือกลัวโลกโดนควบคุม
แต่สิ่งที่ควรกลัวยิ่งกว่า คือมนุษย์ที่มีอคติ ใช้เทคโนโลยีเสริมพลังความเกลียดชัง
AI ไม่ได้ปลุกระดมคน มันเพียงขยายเสียงของคนที่ต้องการปลุกระดม
แพลตฟอร์มไม่ได้ทำให้ความแตกแยกเกิดขึ้นจากศูนย์ มันเพียงขยายความแตกแยกที่มีอยู่แล้ว

อนาคตของสังคมจึงไม่ได้ขึ้นกับเครื่องจักร แต่ขึ้นกับว่าเราจะยอมรับ “ความรับผิดชอบเชิงศีลธรรม” หรือไม่
เราจะเป็นผู้ใช้ที่รู้เท่าทัน หรือเป็นผู้ใช้ที่ถูกลากไปตามอัลกอริทึม
เราจะสร้างพื้นที่การสนทนาที่เคารพกัน หรือเลือกพื้นที่ที่ตะโกนแข่งกันเพียงเพื่อชนะ

ยุคดิจิทัลไม่ได้ทำลายสังคม มันเพียงเปิดโปงสังคมให้เห็นตัวเองโดยไม่มีฟิลเตอร์
มันทำให้มนุษย์เห็นความจริงที่เคยปิดซ่อนอยู่—คนที่เปราะบาง กลุ่มที่ถูกทอดทิ้ง ความไม่เท่าเทียม และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง
แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็เปิดโอกาสให้คนธรรมดามีเสียงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

คำถามคือ เราจะใช้โอกาสนั้นอย่างไร
เพื่อสร้างความเข้าใจ หรือเพื่อทำลายอีกฝ่าย
เพื่อพัฒนามนุษย์ หรือเพื่อพิสูจน์ว่าเราถูกกว่า
และท้ายที่สุด เราจะใช้ยุคดิจิทัลเพื่อ “หนีออกจากโลก” หรือ “กลับมาทำความเข้าใจกับมัน” อย่างแท้จริง